เทศน์บนศาลา

กุญแจใจ

๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๑

 

กุญแจใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรม ธรรมะ... ธรรมะนี่มีเป็นครั้งคราว ธรรมะนะ ใจเราเป็นธรรมไง ถ้าใจเราเป็นธรรมชีวิตเราจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าใจเราเป็นโลกเห็นไหม มันก็ลากเราไปนะ มันจะลากชีวิตของเราไป

ทางโลกนะ ถ้าธรรมะแบบโลกียปัญญา มีหน้าที่การงาน มนุษย์มีหน้าที่การงาน ทำงานรับผิดชอบนั้นคือเป็นคนดี คนดีของโลกนะ เราก็ยกย่องเชิดชูกันเห็นไหม จนออกจากโลกไม่ได้นะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาคฤหัสถ์นี่พูดธรรมะ โอ้โห นิพพานนะ พูดถึงสิ้นกิเลสเลยนะ แต่เสียสละเพศของเราไม่ได้ เพศของเราเห็นไหม

“คฤหัสถ์นะ” เพศของเรา ผมบนศีรษะก็เสียสละไม่ได้ แต่พูดถึงธรรมะนี่นิพพานนะ สิ้นเลยล่ะ สิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ทั้งนั้น เห็นไหม เพราะมันติดโลกไง เราเสียสละไม่ได้ จนถึงปัจจุบัน ถ้าเราเป็นคนดี คนดีเห็นไหม ถ้าใจดีดีหมด แต่ถ้ามันดีหมดมันเห็นคุณค่านะ

ดูสิ ศีลเห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ใครมีศีล มีศีลคือมีความคงที่ ศีลที่ดี การประพฤติปฏิบัติมันจะง่ายขึ้น

เวลาพระเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม อดนอนผ่อนอาหารนี่โลกเขารับกันไม่ได้นะ ทุกข์นิยม... ทำไมต้องทำให้มันทุกข์ยากขนาดนั้น ไม่รู้หรอกกิเลสมันแก่น กิเลสมันเหนียวแน่นขนาดไหน กิเลสเรานี่เหนียวแน่นมาก แต่เราไม่รู้มันหรอก เราไม่เข้าใจมันหรอก มาร... เราตกอยู่ใต้พญามารทั้งหมด มารมันครอบงำเราตลอดเห็นไหม

ธรรมะเท่านั้นจะต่อสู้มัน ธรรมะเท่านั้นจะแก้ไข ธรรมะเท่านั้นนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คำว่าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องยึดเอาตรงนี้ก่อน ความปรารถนา ความเตรียมตัวพร้อมมา พระโพธิสัตว์เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยต้องต่อเนื่อง แล้วพระโพธิสัตว์ถ้ายังไม่ได้รับพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังกลับได้ กลับหมายถึงว่าเป็นสาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟัง คือมีผู้ชี้นำ มีคนสอน มีการค้น มีทฤษฎีให้เราก้าวเดินตาม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เป็นสยมภูตรัสรู้เองโดยชอบ

สิ่งที่ไม่มี โลกที่ไม่มี ไม่มีใครสนใจแล้วไม่มีใครรู้ มันจะเกิดมาได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นมา เพราะการสะสมมาเห็นไหม พระโพธิสัตว์ สิ่งที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ต้องเป็นหัวหน้า ต้องพยายามสร้างบารมี แต่มันก็เป็นความสุขนะ ความสุขแบบโลกที่เราเป็นกันอยู่นี่ไง เห็นไหม

ถ้าเรามีสถานะทางสังคม เรามีสถานะทางเศรษฐกิจ โอ้ เราเป็นคนมีหน้ามีตานะ มันเพลินนะ มันเพลินไปให้เขายกย่อง ให้เขายกย่องนี่คือ “โลกธรรมแปด” มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันจะเสื่อมไปข้างหน้า แม้แต่ชีวิตเราก็ต้องตายไปข้างหน้า แล้วธรรมที่มันคงที่ ธรรมที่มันมีอยู่ ทำไมไม่แสวงหา ไม่ค้นหา ค้นหาไป ถ้าค้นหามันก็เป็นอีกระดับหนึ่งเห็นไหม

ในการประพฤติปฏิบัติ ในการประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้นะเพราะอะไร เพราะมันตื่น ตื่นเต้นกันไป ตื่นเหมือนกับไฟไหม้ฟาง เห็นเขาบอกว่าธรรมะสุขอย่างยิ่งๆ ...สุขอย่างยิ่งมาจากไหน

สุขอย่างยิ่งมันเกิดจากครูบาอาจารย์เรานะ ครูบาอาจารย์ค้นคว้าเห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นออกค้นคว้ามา ขนาดที่มีธรรมะอยู่นะ มีศาสนาอยู่ แต่มีบุรุษ เอกบุรุษออกประพฤติปฏิบัติ เขาจะไปไหนกัน ไปทำอะไรกัน เขาไม่เชื่อ มันไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ กึ่งพุทธกาลแล้วเห็นไหม ไม่มีมรรคผล มรรคผลนิพพานไม่มี แล้วทุกข์มันมีที่ไหน ทุกข์มันมาจากไหน

มรรคผลนิพพานไม่มี ทุกข์มันก็ต้องไม่มีไปด้วยใช่ไหม มันต้องเทาๆ ไปกันหมด พออยู่พอกินกันไป แล้วมันเป็นไปไหมล่ะ ทุกข์จนตรอมใจตาย... ทุกข์จนตรอมใจตาย มันทุกข์ขนาดนั้นนะ

แล้วเราจะเอาอะไรไปแก้มัน เพราะอะไรล่ะ เพราะเราปฏิเสธสิ่งที่มันมีอยู่ไง อธิษฐานบารมี.. เป้าหมาย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมเห็นไหม บารมี ๑๐ ทัศสุดท้าย ขันธบารมี ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี ต้องมีพร้อมหมดนะ พอตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ มันต้องมีความพร้อมไง ขนาดมีความพร้อมนะ ยังท้อใจเลยว่า มันเป็นความลึกลับ เพราะมันเป็นความคิด หรือมันเป็นปัญญาอีกคนละชั้น คนละชั้นกับความคิดโดยปกติของเรา

ความคิดปกติของเรา มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดจากกิเลส เกิดจากตัวตน เกิดจากเราทั้งหมด เหมือนกับทางโลกเขาเห็นไหม ทางโลกเขานะ ถ้าคลังสินค้า เขาต้องมีกุญแจ ๓ ดอก เขาต้องให้เจ้าของเก็บไว้ดอกหนึ่ง ให้พยานเก็บไว้ดอกหนึ่ง ให้ใครเก็บไว้อีกดอกหนึ่ง กุญแจ ๓ ดอกนะ ในใจก็กุญแจ ๓ ดอกเหมือนกัน ใจเรานี่คือคลังสินค้า คลังกิเลส คลังของใจ อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ

ภวสวะคืออะไร ภวาสวะคือภพ คือตัวฐาน คือตัวข้อมูล คือคลัง คือตัวสถานที่ คือปฏิสนธิจิตที่พาเกิดพาตาย ปฏิสนธิวิญญาณ

ปฏิสนธิวิญญาณมันพาเกิดพาตายนะ สิ่งที่พาเกิดพาตาย เราศึกษาธรรม เราศึกษาจากอะไร ศึกษาจากกิเลส ศึกษาจากตัณหาความทะยานอยากนะ กิเลสเอาไปกินหมด ดูสิ เขาทุจริตกันเห็นไหม ขนาดกุญแจ ๓ ดอกให้เก็บไว้ เวลาเปิดต้องมาเปิดพร้อมกัน แต่ผู้ที่ทุจริตมันเอาไปขายกินได้หมดล่ะ สินค้าในคลังนั้นจะไม่มีเหลือเลย เปิดทีไรก็ทุจริตคดโกงกันตลอดไป หาแต่ผลประโยชน์ใส่ตัวเอง แล้วความที่มันเป็นทุกข์เป็นยาก สิ่งที่เป็นสมบัติของสาธารณะ สมบัติของส่วนรวม ใครจะทุกข์จะร้อนไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำมันอยู่อย่างนั้นตลอดไป

ในการศึกษาธรรมของเราก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมก็ศึกษาโดยกิเลสเห็นไหม กิเลสมันเอาไปใช้ก่อน มันทำให้เราไม่เข้าถึงสัจจะความจริง ถ้ามันทำให้เราไม่เข้าถึงสัจจะความจริงนะ มันก็ทำให้เราเสียเวลาไป มันก็เกิดตายกันไป มันไม่เข้าถึงสัจจะความจริงได้ ไม่เข้าถึงสัจจะความจริงเพราะอะไร... เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจเห็นไหม

ครูบาอาจารย์ที่ท่านแสวงหามา ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมานะ มันมีประสบการณ์ของใจ ใจมันต้องมีประสบการณ์ของเขานะ

ดูสิเราศึกษาธรรมเห็นไหม “มรรคผลนิพพานอยู่ในพระไตรปิฎก ใครพูดธรรมะเบี่ยงเบนหรือนอกออกจากพระไตรปิฎกไป เชื่อถือไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้”

นี่มันโดยกิเลสนะ โดยตัณหาความทะยานอยาก แล้วเราไปยึดในพระไตรปิฎก แล้วพระไตรปิฎกเชื่อถือได้ขนาดไหน มันเชื่อถือได้ขนาดไหนที่เราไปศึกษาพระไตรปิฎก เชื่อถือได้ขนาดไหน เราเชื่อถือ... เชื่อถือเพราะอะไร เพราะเรายึดมั่นของเราว่าต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นกรอบตายตัวนะ พระไตรปิฎกมันเป็นชื่อเฉยๆ มันเป็นทฤษฎีเฉยๆ เห็นไหม

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวก สาวกะ ถ้าประพฤติธรรมขึ้นมา เป็นสาวกสาวกะ นี่รัตนะ ๓ สิ่งที่เป็นธรรมวินัยมันเป็นธรรมวินัย ธรรมวินัยจริงๆ มันเป็นธรรมวินัยจากหัวใจของเรา ไม่ใช่ธรรมวินัยในพระไตรปิฎก! ธรรมวินัยในไตรปิฎกนะมันเป็นคำสอน มันเป็นชื่อ มันเป็นชื่อเฉยๆ เราศึกษาเฉยๆ แล้วยิ่งถ้าศึกษาลึกซึ้งขึ้นไป มันก็ศึกษาโดยกิเลสไง เห็นไหม

เวลาเขาจะเปิดคลังสินค้านะ เขาต้องมีกุญแจ ๓ ดอกพร้อมกันเปิดนะ แต่นี่เห็นไหม เราไล่ไปไง กิเลสเห็นไหม กิเลสดอกหนึ่ง กุญแจเราอยู่ที่กิเลสดอกหนึ่ง อยู่ที่อวิชชาดอกหนึ่ง อยู่ที่ภพดอกหนึ่ง “อาสวะ ๓” มีอาสวะสามวนอยู่ในใจ เวลาศึกษาธรรมขึ้นมาก็ศึกษาโดยแบ่งแยก ศึกษาโดยตัดตอนเห็นไหม มันไม่สมดุล มันไม่เป็นไป มันประพฤติปฏิบัติไม่ได้

ศึกษาธรรมนะ ถ้าเป็นธรรม ธรรมคืออะไร ศึกษาธรรมเห็นไหม ตั้งแต่ข้อสัมโพชฌงค์ ตั้งแต่สิ่งที่เป็นมรรค มรรคญาณต่างๆ ศึกษาไป แล้วเราก็คิดของเราไป ...กุญแจดอกเดียวไง

ถ้ามีกิเลสนะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่มันเป็นกิเลส แต่ถ้าเราเกิดมามันเป็นความจริง เพราะกุญแจน่ะอยู่ที่เขาดอกหนึ่ง เพราะกิเลสเห็นไหม เพราะเราอยาก เพราะเรามีการกระทำ เพราะมีศรัทธา เพราะเรามีความเชื่อ เพราะมีสิ่งต่างๆ เห็นไหม มันถึงทำให้เราค้นคว้า ทำให้เราศึกษา ทำให้เราทำของเราขึ้นมา แต่มันเป็นโดยกิเลสทั้งนั้นน่ะ

ถ้าโดยกิเลสเห็นไหม เพราะอะไร แล้วมันมีอวิชชา อวิชชาเพราะความไม่รู้ อวิชชาคือมันไม่รู้ตัวมันเองไง มันเป็นอวิชชา ดำมืด แต่มันศึกษาโดยกิเลสเห็นไหม ศึกษาโดยทางวิชาการ ศึกษาไปต่างๆ มันก็เป็นโลกๆ นี่แหละ นี่ศึกษาเห็นไหม

แต่ถ้าเป็นวิชชาล่ะ วิชชาเป็นอย่างไร วิชชาคือผู้รู้ไง วิชชามันรู้ตามข้อเท็จจริง ถ้าวิชชา มันจะใช้ปัญญาใคร่ครวญไป จากอวิชชามันจะเป็นวิชชา วิชชาอะไร ดูสิ ดูโดยปฏิจจสมุปบาทสิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ

แต่เราค้นคว้าเราศึกษาของเรา มันเป็นวิชชาเห็นไหม นิโรโธโหติ มันหดเข้ามา หดเข้ามา.. ถ้าวิชชา มันจะทำให้กิเลสเป็นธรรมไง แต่ถ้ากิเลส มันมีกิเลส กิเลสมันเป็นอะไร กิเลสมันเป็นสมุทัย ถ้าเป็นธรรมล่ะ ธรรมก็เป็นธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันก็เป็นสภาวธรรมที่มันเกิดดับเหมือนกัน

สภาวธรรมนะ ถ้าเป็นสภาวธรรมที่เราศึกษาขึ้นมา มันก็เปรียบเทียบให้กิเลสมันกลายเป็นธรรม แล้วธรรมจะไปแก้ไขกันที่ไหน ...จะไปแก้กันที่ไหน

ภพ ภวาสวะ ถ้ามีกุญแจ ๓ ดอกเห็นไหม กุญแจจะไขเข้าไปที่ใจนะ กิเลสมันอยู่ที่ใจ ธรรมะมันก็อยู่ที่ใจ ธรรมะนี่มันอยู่ที่หัวใจเรานะ สุขมันก็สุขที่ใจ ทุกข์มันก็ทุกข์ที่ใจ แล้วด้วยความไม่รู้ อวิชชาครอบงำ แล้วเราก็บอกว่า ถ้าการแก้กิเลส แก้ ๓ ภพไม่ได้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ...แก้ไม่ได้ อดีต อนาคตมันเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดและการตาย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะมันจะเห็นการเกิดและการตายของจิตเรา จิตนี่มันมีเกิดมีตายมา ถ้าจิตไม่มีเกิดมีตายมา การแสวงหา การศึกษาเห็นไหม

เราเคยเป็นครูเป็นอาจารย์กัน เราเคยมีสายสัมพันธ์กันมาเห็นไหม สายบุญสายกรรม มันมีเกี่ยวเนื่องกันมาทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้าหรอก คนเราไม่ใช่เกิดชาตินี้ชาติเดียว แล้วถ้าเกิดมาแล้ว ตายแล้วก็นึกว่าจะสูญ ก็ไม่สูญเห็นไหม คนเราเกิดมามันมีที่เกิดนะ เพราะเรามีกรรมมา เราถึงมาเกิดในครรภ์ของมารดา พ่อแม่ปู่ย่าตายายมีกรรมร่วมกันมา มันผลัดกันเกิดเป็นลูก เป็นญาติ เป็นพ่อ เป็นแม่ มันเวียนตายเวียนเกิด

คนที่เกิดมา เห็นไหม เกิดมานั่งบนกองกระดูก เกิดมาโดยไม่เคยเป็นญาติเป็นวงศ์กัน ไม่เคย ไม่มี คนเกิดตายเกิดตาย ไม่ชาติใดชาติหนึ่งจะเกี่ยวพันธ์กันมาเห็นไหม เกิดมาแต่อดีตเห็นไหม แล้วบอกว่าไปแก้กิเลสไม่ได้ ต้องเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันมันก็แก้ได้ แล้วปัจจุบัน... ปัจจุบันที่ไหน ก็ปัจจุบันของอวิชชาไง ปัจจุบันของกิเลสไง เพราะไม่เข้าใจเรื่องคำว่าปัจจุบัน มันเห็นอดีต อนาคต เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ สาวไปตั้งแต่การเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนจะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม ก็เป็นพระเวสสันดร ๑๐ ภพ ๑๐ ชาติไป มันสาวไปได้หมดเห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันมีข้อมูลอยู่ที่ใจ บุพเพนิวาสานุสติฌาน จุตูปปาตญาณ อดีต-อนาคต บอกว่า ๓ ภพ ๓ ชาติแก้กิเลสไม่ได้ ต้องเป็นปัจจุบัน...

ปัจจุบัน.. ถ้ามันเป็นปัจจุบันแต่ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีบารมีมา ไม่มีการสร้างสมมา มันก็ซื่อบื้อ ศึกษาโดยไม่มีการใช้ปัญญาเห็นไหม มันเป็นกิเลสหมดเลย

ศึกษาธรรมขึ้นมาแล้วก็ไปยึดไปมั่นไปกอดกันไว้นะ ต้องทำตามพระไตรปิฎก.. มันก็ยึดพระไตรปิฎกนั่นล่ะ

เราก็ทำตามพระไตรปิฎกนี่ล่ะ แต่พระไตรปิฎกมันเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน มันเป็นฉลากยา เราต้องกินยาเข้าไป เพราะปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิมันก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันมีหลักมีฐานขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีปัญญา สมาธิมันก็ตีสมาธิเป็นนิพพาน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ พอมันปล่อยวางมันว่างขึ้นมา มันก็ว่าเป็นนิพพาน มันเป็นเรื่องธรรมดาของฌานโลกีย์นะ

เวลาสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังรื้อค้นอยู่น่ะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม เขามีฌานสมาบัติ กาฬเทวิลเขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาตินะ เขาสามารถขึ้นไปนอนบนพรหมได้นะ แต่มันเป็นฌานโลกีย์ที่ไม่สามารถแก้กิเลสได้ แล้วเขาก็มีฤทธิ์มีเดชนะ มีคนศรัทธา มีคนเชื่อถือเขาเหมือนกัน

แต่เชื่อถือขึ้นมา ต่างคนต่างกอดคอกันตายไง กอดคอกันตาย ก็กอดในวัฏฏะนี่ไง เพราะมันตายในวัฏฏะ มันเวียนไปในสังสารวัฏ มันออกไปวิวัฏฏะไม่ได้ ! ออกไปไม่ได้หรอก

สิ่งที่ออกไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะในปัจจุบัน.. แล้วปัจจุบันของใคร ในปัจจุบันนะ สิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว โลกมันมีอยู่แล้ว ถ้ามันศึกษาไป แล้วเวลาจิตเรามันปฏิบัติเข้ามา ถ้ามันไม่เข้ามาถึงตัวภพ ตัวภพนะ.. เวลาเข้าสมาบัตินะ นี่จิตมันเข้า ตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายนตะ ใครเป็นคนเข้า ความเปลี่ยนแปลงของระดับของฌานไง

ความเปลี่ยนแปลงของระดับสมาธิ ที่บอกว่า “สมาธิเป็นนิพพานๆ ” ความเปลี่ยนแปลงของมันนะ ถ้าคนไม่มีสติ มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันจะเข้าอย่างไร แล้วความต่างของความละเอียด ความต่างของอารมณ์ความรู้สึก ความต่างของฌานมันเป็นอย่างไร

ถ้ามันเป็นปุถุชนมันติดหมดล่ะ มันว่างๆๆ มันก็ว่าเป็นผลแล้ว มันจะเป็นผลได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่มันเป็นไป ขนาดหลัดๆ แล้วนะ อจินไตย ๔ นะ “พุทธวิสัย” พุทธวิสัย คือ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โลก” โลกนี่เป็นอจินไตย ที่ว่าโลกแตกๆ มันจะเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นอจินไตย อจินไตยคือมันไม่มีที่สิ้นสุด โลกนี้เป็นอนิจจัง

อจินไตย ๔ เห็นไหม ก็เรื่องกรรม กรรมที่เราเกิดตายเกิดตาย ที่บุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาวไปไม่มีที่สิ้นสุด พระอรหันต์บางองค์ระลึกได้แสนชาติ หมื่นชาติ พันชาติ ร้อยชาติ ไม่กี่ชาติ เห็นไหม นี่คืออะไร นี่คือความสามารถของจิตที่มันจะสาวได้ขนาดไหน

แต่ถ้าเทียบจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม “ไม่มีต้นไม่มีปลาย” ทุกดวงจิตต้องเป็นอย่างนั้น แต่ความสามารถของเราน่ะมันจะสาวได้ลึกได้ตื้นขนาดไหน คำว่าสาว.. สาวนั้นคืออะไร สาวนี้คือข้อมูลเดิมทั้งนั้น มันเป็นคุณสมบัติของจิตที่ได้สร้างมา สิ่งที่เกิดตาย เกิดตาย เห็นไหม มันเป็นอจินไตย

ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตมันมีการสืบต่อมา แล้วถ้าย้อนกลับมา เห็นไหม สิ่งที่มันว่าเป็น “นิพพานๆ” มันเป็นความเห็น มันเป็นความเห็นของเรา ความเห็นของอวิชชา เพราะมันไม่รู้เห็นไหม แล้วศึกษาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็ประพฤติปฏิบัติโดยอวิชชา อวิชชากิเลสมันก็พองตัวสิ กิเลสมันก็เห็นว่าจิตดวงนี้ไม่มีอำนาจ จิตดวงนี้อยู่ใต้อำนาจของเขา เขาก็ครอบงำอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเราก็จะเวียนอยู่อย่างนั้นเห็นไหม เวียนอยู่อย่างนี้...

แต่ถ้ามีพื้นฐานเห็นไหม “สิ่งใด...” มันต้องมีสิ่งเปรียบเทียบสิ เราทำอะไรของเราเข้ามา เราประพฤติปฏิบัติของเรามา ปฏิบัติมาเพื่อใคร ในพรหมจรรย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้วนะ พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะเป็นผู้ไปแก้ เป็นอาจารย์เขา ไม่ปฏิบัติเพื่อแก้ทิฏฐิของใคร ทิฏฐิของใครไง ความเห็นของเขา เราต้องปฏิบัติของเรา

แล้วจะไปสอนคนอื่น ไร้สาระ ! ถ้าคิดอยู่อย่างนั้นมันส่งออกตั้งแต่เริ่มต้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องย้อนกลับมา พรหมจรรย์นี้เพื่อเรา ใครจะว่า ใครจะติ ใครจะเตียน ใครจะมีความเห็นใดๆ ของเขา เป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้นล่ะ แต่เรื่องของเราเห็นไหม เรื่องของเรามันต้อง “ศีล สมาธิ ปัญญา” เราต้องมีศีลเป็นปกติของใจเราเข้ามา

สิ่งที่เป็นการดำรงชีวิต สิ่งที่โลกเขาเป็นไปอยู่อย่างนี้ เราก็เคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่เราเป็นมาชาตินี้ชาติเดียวนะ เราเคยเกิดเคยตายแล้วไม่รู้กี่รอบ ไม่รู้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่เข้าใจ.. ไม่เข้าใจเพราะว่ามันไม่เห็น มันไม่เข้าใจเห็นไหม

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้ามานะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ แล้วคนที่มีอำนาจวาสนา มันไปเห็นของมัน เห็นแล้วก็ยังมาตื่นเต้น ยังมาทำให้ตัวเองจิตใจหวั่นไหวไปกับเขา มันไปเห็นมามันก็ยังเป็นโทษอีกเห็นไหม

แต่ถ้าจิตที่เขามีคุณภาพของเขา จิตที่เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขานะ เห็นแล้วสลดสังเวช... สลดสังเวชนะ “มันเป็นอย่างนี้หรือ มันเป็นอย่างนี้หรือ แล้วมันยังต้องเป็นไปอย่างนี้อีกหรือ” แล้วเราจะไปตื่นเต้นอะไรกับเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงจากภายนอก

สุขที่หากันอยู่นี้ ที่มันเสพกันอยู่นี้ คือสุขที่รูปรสกลิ่นเสียง ไม่มีสิ่งใดๆ เลย รูปรสกลิ่นเสียงมันก็แปรสภาพตลอด

แล้วเราเอง เราก็ทำลายโอกาสของเราตลอด เราไปอยู่กับมันตลอด แล้วเราก็ให้มันไปกับมัน ไปกับความรู้สึกอันนั้นเห็นไหม แล้วมันก็เป็นทุกข์ตลอดไป สิ่งนี้.. ค่าของสิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะ ชีวิตเรานะมันไม่แน่นอนหรอก มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก แล้วมันขาดเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้นน่ะ แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน ถามตัวเองสิ ! ความจริงมันอยู่ที่ไหน ความจริงของเราเนี่ยมันอยู่ที่ไหน...

สิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา ความจริงเราหามาที่นี่ สิ่งที่เป็นนามธรรม พอสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุปั๊บ.. สิ่งที่เป็นวัตถุที่เขาจับต้องเขาก็ว่าเป็นความจริงของเขา.. แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาของเราเห็นไหม “อารมณ์ความรู้สึกก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง” มันจับต้องได้ มันรู้จริงๆ อารมณ์ความรู้สึกที่มันเกิด เราเรียงลำดับมันได้เลย

ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ เราใคร่ครวญเข้ามาในความคิดของเรา เห็นเลย มันหยุดได้ มันเป็นไปได้ เราควบคุมได้ ควบคุมความคิดเราได้ ทั้งๆ ที่เราว่าความคิดเราควบคุมไม่ได้ เราทำสิ่งใดๆ ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเราไม่มีสติเห็นไหม

ถ้าเราตั้งสติแล้วเราตั้งใจเข้ามานะ ทำของเราเข้ามา กำหนดพุทโธก็ได้ “เพราะการทำสมาธิมันเข้าไปถึงตัวภพ” ฐีติจิตเห็นไหม อวิชชาเกิดจากอะไร เกิดจากฐีติจิต อวิชชาเกิดจากใจ อวิชชาเกิดจากภพ “ภพ” เราว่าภพชาติ เราก็ว่าการเกิดเป็นภพอันหนึ่ง การเกิดตายนี่เป็นภพชาติหนึ่ง แต่เราไม่เห็นตัวภพเลย ตัวภพจริงๆ มันอยู่ที่ไหน

กุญแจดอกหนึ่งอยู่ที่นั่นนะ ถ้าเราหากุญแจดอกนี้ไม่ได้ แล้วเราจะเอาอะไรไปไขมัน เราจะไปไขคุณธรรมของเราออกมาได้อย่างไร “คุณธรรม” คำว่าคุณธรรมคือตัวภพ คือตัวใจ คือตัวข้อมูลที่เราจะเปิดมันออกมา ถ้าเราเปิดข้อมูลนี้ออกมาได้ นี่คือความรู้จริงของเรานะ

ข้อมูลอย่างนี้คือข้อมูลโดยอวิชชา อวิชชาเพราะอะไร อวิชชาเพราะเราไม่รู้ อวิชชานี่มันไม่รู้จักของมัน อวิชชาเห็นไหม อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วกิเลสล่ะ กิเลสมันก็กระตุ้น กระตุ้นให้ทำเห็นไหม ดูสิ การกระทำมันเป็นโดยโลกหมด โดยกิเลสหมด

แต่ถ้าเราศึกษา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จากอวิชชาเป็นวิชชา กิเลสเป็นธรรมไหม กิเลสมันจะเป็นธรรมขึ้นมานะ ถ้ากิเลสเป็นธรรมขึ้นมา มันจะเห็นข้อเท็จจริงจากการอาบเหงื่อต่างน้ำ จากการที่เป็นภาระ จากสิ่งที่รกรุงรังในความรู้สึกของเรา สิ่งที่ทำให้เรารกรุงรัง ความรู้สึกต่างๆ ความคิดที่มันทำให้เราเศร้าหมอง ทำให้มันทุกข์ยากอยู่นี่มันจะเริ่มสงบตัวเข้ามา

ถ้าสงบตัวเข้ามาเห็นไหม สงบตัวเข้ามา.. สงบตัวเข้ามา.. นี่ไง จากที่ว่าเป็นกิเลสๆ มันจะเป็นธรรมขึ้นมา “คุณธรรม” คนมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจเห็นไหม

สิ่งที่คุณธรรม ศรัทธา-อจลศรัทธา ศรัทธาความเชื่อนี่มันคลอนแคลนนะ วันนี้เราศรัทธาใครเราเชื่อถือใคร พอไปจับผิด ไปเห็นสิ่งที่ไม่ถูกใจขึ้นมา เราจะนึกว่ามันจะจริงหรือ.. มันจะเป็นไปได้หรือ.. กิริยาภายนอกมันจะเอามาคำนวณ เอามาดูกันไม่ได้หรอก มันจะต้องดูคุณธรรม เวลาอริยสัจ.. “แสดงธรรม” ธรรมนี่ถ้ามันออกมาจากใจ มันเป็นความจริง... “จากใจดวงหนึ่งให้ใจดวงหนึ่ง” ใจที่สูงกว่าเราจะสามารถดึงจากใจที่เราต่ำขึ้นมาให้ได้ ...ใจที่สูงกว่าเรานะ

ถ้าเป็นทางวิชาการ เราศึกษาพระไตรปิฎกเห็นไหม กางพระไตรปิฎกว่าใครถูกใครผิด วัดกันที่พระไตรปิฎก แล้วพระไตรปิฎกนี่มันเป็นกิริยาของธรรม มันไม่ใช่ตัวธรรม กิริยาของธรรมเห็นไหม “ประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่ธรรม” ประเพณีวัฒนธรรมเขาเป็นประเพณีเพื่อจะเข้าไปหาคุณธรรม นี่ก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกมันเป็นกิริยาของธรรม เพราะตัวจริงๆ ตัวคุณธรรมจริงๆ มันอยู่ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ จากหัวใจที่เป็นพระโพธิสัตว์ มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความสะอาดบริสุทธิ์มันอยู่ที่ใจดวงนั้น นิพพานมันอยู่ที่นั่น แต่พระไตรปิฎกนี่มันเป็นวิธีการ มันเป็นวิธีการ ไม่ใช่เป้าหมาย แล้วเราไปเอาวิธีการมาต่อล้อต่อเถียงกัน แล้วมันจะชี้ไปไหนล่ะ มันชี้ไปมันก็ชี้ไปไม่ได้ใช่ไหม แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราย้อนกลับขึ้นมา พระไตรปิฎกก็กราบบูชา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะกราบบูชา เคารพนบนอบมาก

แต่ความเป็นจริงของเรา ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะเข้าใจได้หมดเลย ถ้าเราเข้าใจได้หมดเห็นไหม นี่ทางวิชาการต้องเป็นอย่างนั้น! ต้องเป็นอย่างนั้น! แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะรู้ของเรา เราวางอันนั้นไว้ อันนั้นมันเป็นชื่อ แต่ความจริงอยู่ที่ใจ ความจริงมันจะสุข มันจะทุกข์ มันอยู่ที่ใจเห็นไหม มันต้องค้นคว้า นี่ไง ถ้าทำอย่างนี้ได้นะ มันจะเป็นวิชชาขึ้นมา มันจะรู้ตามจริงขึ้นมา ถ้ามันรู้ตามจริงขึ้นมาเห็นไหม..

“รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ของมาร”

มันเห็นได้ขนาดนั้นนะ เห็นว่ารูปรสกลิ่นเสียง ความรู้สึกความคิดต่างๆ ที่มันกระทบ มันเป็นบ่วงของมาร เพราะอะไร เพราะอวิชชามันไม่รู้ ! มันไม่รู้แล้วมีกิเลสตัณหา ตัณหาเพราะมันอยากได้ใช่ไหม กิเลสมันอยากได้มันอยากรู้มันอยากเห็น “นี่เป็นธรรม.. นี่เป็นธรรม..” ธรรมโดยกิเลสหมด ไม่ได้ธรรมโดยธรรม

ถ้าไม่ได้ธรรมโดยธรรมเพราะมันขาดสติ เพราะมันขาดการทดสอบ มันต้องทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบบ่อยครั้ง ทดสอบตรวจสอบใจเราตลอดเวลา ทดสอบตรวจสอบทำอยู่อย่างนั้น พิจารณาอยู่อย่างนั้น มันต้องเป็นไปได้

มันเป็นไปได้เพราะอะไร มันเป็นไปได้เพราะมันจะเข้าไปถึงตัวภพ เพราะทำความสงบเข้ามามันเป็นตัวภพ มันเป็นตัวใจเห็นไหม ตัวใจเป็นตัวภพน่ะ สมาธิเป็นอย่างนี้ ถ้าสมาธิเป็นอย่างนี้คือมันถึงฐาน ถึงเป้าหมายของมัน เห็นไหม แล้วออกใช้วิปัสสนาเห็นไหม นี่กุญแจที่มันจะมาเปิดธรรมะ

สิ่งที่เป็นธรรมะเห็นไหม แล้วธรรมะมันอยู่ที่ไหน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาธรรมจักรเห็นไหม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่เห็นไหม ธรรมจักร นี่คือกิริยา แต่เวลาปัญจวัคคีย์ฟังอยู่เห็นไหม ฟังอยู่ ๕ องค์นะ ทำไมพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ขึ้นมาองค์เดียว นี่จิตใจมันเสริมมากันไหม

แสดงธรรมโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ฟังพร้อมกันนะ ทำไมพระอัญญาโกณฑัญญะรู้องค์เดียวล่ะ แล้วเทศนาว่าการต่อไปจนปัญจวัคคีย์รู้ทั้งหมด แล้วเทศน์ซ้ำเข้าไปถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเห็นไหม

สิ่งที่แสดงธรรม แต่คุณธรรมที่เกิดกับใจของพระอัญญาโกณทัญญะ นี่มันเกิดจากการกระทำของใจเรานะ “กิจจญาณ” กิจจญาณที่ใจมันพัฒนาของมัน ถ้าใจมันพัฒนามันเข้าใจของมันเห็นไหม มันมีการกระทำของมัน การกระทำนี้คือกุญแจ กุญแจที่มันจะมาเปิดพร้อมกัน

สิ่งที่มาเปิดพร้อมกัน เข้าถึงใจได้พร้อมกัน ด้วยคุณธรรม สัจธรรม มันเหมือนกันนะ อริยสัจเป็นอันเดียวกัน สิ่งที่กาลเวลาไม่มีความสามารถที่จะเข้ามา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม พระศรีอารย์เห็นไหม มันคืออริยสัจเดียวกัน แต่อำนาจวาสนาสิ่งที่รื้อสัตว์ขนสัตว์มันกว้างขวางแคบต่างกันเท่านั้นเอง แต่อริยสัจอันเดียวกัน การแก้กิเลสอันเดียวกัน

สิ่งที่อันเดียวกัน เราประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน “ในหมู่ชนของเราถ้าผู้ใดปฏิบัติถึงเป็นโสดาบัน จะเป็นโสดาบันเหมือนกัน” จะมาในแนวทางไหนเห็นไหม จะเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติเห็นไหม จะเป็นสิ่งต่างๆ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดก็แล้วแต่ ผลจะเหมือนกัน เหมือนกันหมดเลย !

ถ้าไม่เหมือนกันนะ มันจะเข้าสัจธรรมความจริงได้อย่างไร มันจะเข้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทำ แต่วิธีการจริตนิสัยมันกว้างขวางมากนะ จริตนิสัยของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันเห็นไหม ความไม่เหมือนกัน... สิ่งที่พิจารณาอย่างเดียวกัน ดูสิ อาหารชนิดเดียวกัน กินอยู่ด้วยกัน บางคนเข้มไป บางคนปานกลาง บางคนอ่อนไป เห็นไหม

สิ่งอย่างนี้ ใจก็เหมือนกัน ใจนี้มันกระทำประพฤติปฏิบัติไป ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจมีการกระทำ มันจะมีสติของมันเห็นไหม สติควบคุมเข้ามา

สิ่งต่างๆ ต้องทำเข้ามาให้เห็นโทษ ถ้าเห็นโทษมันจะปล่อยวางของมัน ถ้าเราไม่เห็นโทษ เราเห็นแต่คุณใช่ไหม “ธรรมะก็ยิ่งมีคุณ.. ธรรมะเป็นคุณ..” แล้วธรรมะเป็นคุณ ทำไมเราล้มคลุกคลานล่ะ

คุณธรรม สิ่งที่เป็นคุณธรรม เพราะถ้าเป็นคุณธรรมจริง มันจะเป็นคุณธรรมในคุณสมบัติของคุณธรรมอันนั้น ไม่ใช่เป็นคุณธรรมที่.. เห็นไหม ที่เราไปพูดน่ะ มันเป็นอาการของใจกับใจ ถ้าเป็นอาการของใจ สิ่งที่เป็นอาการของใจ มันเป็นเงาใช่ไหม ถ้าตัวใจนี่เป็นความจริงใช่ไหม ถ้าเป็นตัวใจ ถ้ามันเข้าไปถึงตัวใจ มันจะรู้สึกเอง มันจะเข้าใจเอง เพราะเราไปอยู่ที่เงากันหมด เพราะจิตมันไม่รู้ อวิชชามันไม่รู้ มันจึงไปอยู่ที่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ถ้าสติมันไม่ดี กิเลสมันจะแข็งมาก กิเลสมันจะเข้มแข็งแล้วมันจะมีการกระทำของมัน แต่ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา กิเลสมันจะอ่อนตัวลง จากกิเลสเป็นธรรม จากอวิชชาจะเป็นวิชชา สิ่งต่างๆ เห็นไหม เรากระทำมา จากอวิชชานะ จากอวิชชามันเป็นวิชชาได้อย่างไร ก็ตัวมันนั่นแหละ ตัวสกปรกมันก็สะอาดขึ้นที่ตัวมันนั้น

ที่ไหนที่มันมืดแล้วแสงสว่างเปิดขึ้นมา ความมืดนั้นมันก็สว่างขึ้นมา จิตใจที่มันโดนครอบงำอยู่เห็นไหม แต่ในการกระทำในโลกปัจจุบันนี้ที่เขาว่ากันว่า “กิเลสแก้ธรรม... จะเอากิเลสมาแก้กิเลสได้อย่างไร ต้องเอาธรรมะมาแก้กิเลส” ก็มันเกิดมาจากกิเลส ก็ใจเรามันเป็นกิเลส ในเมื่อใจเรากิเลสก็ต้องไปแก้ตรงที่กิเลสนั่นล่ะ ถ้ายังแก้กิเลส จะเอาอะไรไปแก้มันๆ ก็ต้องตั้งใจสิ ตั้งใจกระทำ แต่ถ้ามันบอกว่าถ้าจะไปแก้กิเลส เราก็ไปเอาธรรมะของพุทธเจ้ามาใช่ไหม

นี่ไงเราไปยึดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปยึดพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกมันเป็นคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ใช่คุณธรรมของเรา ในเมื่อเราล้มลุกคลุกคลาน เราจะยืนขึ้นมาได้ เราจะสามารถก้าวเดินได้ มันก็ต้องเป็นจิตของเรา ยืนขึ้นมาเอง ก้าวเดินไปเอง ฉะนั้นในการกระทำของเรา มันก็ต้องค้นคว้าต้องแสวงหา ทฤษฎีเป็นทฤษฎี ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส จริงแน่นอน แต่ขณะที่กิเลสเป็นกิเลสมันเป็นสิ่งที่แยกออกมา เป็นการทางวิชาการ

แต่ถ้าของเราขึ้นมามันเป็นเราหมด สิ่งที่เป็นเรา แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร สิ่งที่เป็นกิเลส ให้มันเบาตัวลง เบาตัวลง เบาตัวลง เบาตัวลง นี่ไงมันถึงย้อนกลับมา “ศีล สมาธิ ปัญญา” มันต้องมีศีล ถ้าศีลมันมีคุณธรรมนะ มีศีล เรายึดมั่นของเรา

มันจะเป็นกิเลส... เขาบอกว่ามันเป็นกิเลส เป็นการทรมานตน นั่นเป็นที่เขาว่า เราต้องทำของเรา ไม้ดิบๆ นะ ไม้มันดิบน่ะจุดไฟไม่ติดหรอก สิ่งที่ชีวิตเราดิบๆ เราจะทำให้มันเกิดคุณธรรมขึ้นมา มันจะขึ้นมาได้อย่างไร มันก็ต้องมีศีล มีศีลขึ้นมาให้ไม้มันแห้ง ถ้าสีไฟมันจะเกิดไฟนะ ไม้มันเปียก ไม้มันดิบ สีไฟไม่เกิดไฟหรอก สีอย่างไรก็ไม่เกิดไฟ

ศีล สมาธิ มีปัญญา มีคุณประโยชน์อย่างนี้ เราถึงจะต้องตั้งใจทำ ใครจะติใครจะเตียนนะเพราะเขาไม่เคยทำ ถ้าสิ่งที่ครูบาอาจารย์เคยทำนะ จะไม่ติเตียนเรื่องอย่างนี้เลย พื้นฐานสำคัญมากนะ ดูสิดูการทำงานการศึกษา เด็ก ถ้าเราให้มีการศึกษาดี วางพื้นฐานดี เด็กมันจะไปได้ดี ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติ มีสมาธิดี เราทำของเราพื้นฐานของเราให้ดี แล้วถ้าเกิดปัญญาเห็นไหม คนที่ไม่เคยปฏิบัติบอกว่า ถ้าเป็นสมาธิแล้วจะคิดไม่ได้ คิดไม่ได้ ถ้ามันคิดไม่ได้ มันจะมีฐานของสมาธิเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร

เพราะมีสมาธิขึ้นมาปัญญามันถึงจะเป็นโลกุตตรปัญญา เพราะมีสมาธิขึ้นมา สมาธิเห็นไหม มันเป็นความถูกต้อง ถ้าความถูกต้องน่ะจากอวิชชามันก็เป็นวิชชา “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้าเห็นสัมมาสมาธินะ รู้จักได้สัมผัส ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกจากหัวใจ แล้วออกค้นคว้าออกแสวงหา เปิดกุญแจให้ได้ ถ้าสิ่งนี้กุญแจ ๓ ดอกรวมกันแล้วเปิดได้ มันก็เป็นมรรคญาณ แต่ที่มันไม่ได้เพราะเราสาวหาแต่ทีละดอกเห็นไหม สาวหาทีละอย่างๆ มันสาวหาแล้วมันคิดออกไป การกระทำของเรามันเลยผิดพลาด

การกระทำผิดพลาดมันเป็นการฝึกฝน มันเหมือนการฝึกฝนนะ ฝึกฝนขึ้นมาให้จิตมันรวมตัวขึ้นมา รวมตัวเข้ามา ให้ย้อนกลับเข้ามานะ แล้วย้อนไปดูกาย ถ้าไปดูกายเห็นไหม การดูกายนี่มันเป็นอุบาย “อุบายวิธีการ” ดูกาย.. กายนอก กายใน กายในกาย ดูกายมันก็หลายซับหลายซ้อนเพราะ เราจะฝึกขึ้นมา จิตที่เป็นนามธรรมเห็นไหม จิตที่เป็นนามธรรมแล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรม จิต.. ที่บอกว่า “อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง” ...วัตถุอย่างไร

ถ้ามันจิตมันเป็นนามธรรม แล้วมีสติเป็นสมาธิ มันก็เป็นรูปธรรมของสมาธิ แล้วถ้ามันออกไปดูอะไร ออกไปดูสิ่งต่างๆ เห็นไหม ดูกายนอก ถ้าจิตมันเป็นคุณธรรมได้ ถ้าจิตมีคุณธรรมไม่ได้เห็นไหม มันเป็นนามธรรมที่จะยืนตัวขึ้นมาไม่ได้ ก็อาศัยส่งออกไปดูกาย ความเข้าใจให้มันดูกาย ไม่ให้มันคิดออกไปในสามัญสำนึกของมันโดยกิเลสตัณหาของมันเห็นไหม

ให้คิดเรื่องกาย เพราะโดยสามัญสำนึกของกิเลสเห็นไหม มันต้องยึดของมัน ยึดนะ ดูสิ เราเกิดมาในชาตินี้ เราก็บอกว่า อดีตอนาคตไม่มี ชาติที่แล้วก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี มีแต่ชาติปัจจุบันนี้ ทั้งๆ ที่มันมีหมดเห็นไหม

มันยึดในปัจจุบันยึดโดยกิเลสอย่างนี้ตลอดไป เพื่ออะไร เพื่อบังตาไว้ บังตาแล้วให้เราใช้ชีวิตหมดไปวันๆ หนึ่ง บังตาไว้พอถึงเวลาตายแล้วนะ มันก็เหมือนสัตว์.. สัตว์เวลาเขาเอาไปโรงฆ่าสัตว์เห็นไหม มันถึงโรงฆ่าสัตว์แล้วนะ มันโดนกดปุ่มทีเดียว มันต้องแยกชิ้นส่วนไปหมดเลย มันก็ตายไป

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันยึดสักกายทิฏฐิ มันมีความเห็นผิด ว่าสรรพสิ่งนี้เป็นของเรา มันเป็นของเราจริงตามสมมุติ เป็นของเราจริงโดยชีวิตนี้ ชีวิตนี้เกิดมาเห็นไหม มีอำนาจวาสนา ชีวิตถึงสำคัญไง

เราเกิดมา เราเป็นลูกใคร เกิดมามีสายสัมพันธ์กับใคร สายสัมพันธ์นี้ แล้วเรามีศรัทธาไหม มีความเชื่อไหม แล้วคุณธรรมของเรามีไหม เพราะมันเกิดมาแล้วมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติไง เวลาเทวดาเขาอวยพรกันนะ เวลาเขาหมดแสง เขาหมดสิ่งที่เป็นอาหารของเขา เขาต้องหมดอายุขัยเห็นไหม ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดมนุษย์แล้วขอให้พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา คำว่าพุทธศาสนา.. ศาสนาของใคร ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน “ผู้รู้” ผู้รู้คือมีสติ

แต่ถ้าผู้หลง ผู้หลงมันก็ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไป ผู้รู้... ผู้รู้ก็ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า ทำบุญกุศลเห็นไหม ทำแต่คุณงามความดี สิ่งที่คุณงามความดี เวลาตายไปก็ไปเกิดเป็นเทวดาอีกเห็นไหม นี่ชีวิตมีคุณค่าอย่างนี้

ถ้าชีวิตมีคุณค่าอย่างนี้ การปฏิบัติขึ้นมา มันเห็น ถ้าเราละเอียดเข้ามา เราจะได้มีการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเห็นไหม เร่งความเพียร ในการทำความเพียรของเรา เราจะทำความเพียรของเราเพื่อให้มันถึงคุณธรรมนั้น ถ้าถึงคุณธรรมนั้นมันจะพัฒนาของมันเข้ามา “ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมเพื่อใคร”

การปฏิบัติธรรมเห็นไหม การเสียสละคือการได้มา เดินจงกรมนะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ได้แต่เหงื่อได้แต่ไคลมา แต่จิตใจเข้มแข็งนะ เหมือนนักกีฬาเลย นักกีฬาเวลาเขาวิ่ง เขาซ้อมของเขานะ เขาได้เหงื่อได้ไคลมานะ แต่เขาได้เทคนิคมา เขาได้ความแข็งแรงของร่างกายมา

ใจก็เหมือนกัน เวลาทำไปน่ะ ไม่เห็นได้อะไรเลย.. ไม่ได้อะไรเลยคือได้ แต่สิ่งที่เขาได้อะไรมาคือไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะมันไปยึด แต่ถ้ามันได้มา คือมันสละออกหมด สิ่งที่ยิ่งสละยิ่งสะอาดเห็นไหม ยิ่งสละเพราะอะไร เพราะกิเลสต้องฆ่า กิเลสต้องทำลาย แล้วเราจะกล้าทำลายไหม

เพราะเราไม่กล้าทำลาย เรายึดว่านี่เป็นคุณสมบัติ ยึดว่านี่เป็นคุณงามความดี ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ เวลาเราทำสมาธินะ พอจิตมันสงบลง.. สงบลง.. เวลาธรรมะมันเกิด พอธรรมะมันเกิดก็อยากรู้อยากเห็น ธรรมเกิดนะ สงสัยในสิ่งใด มีสิ่งใดที่อยู่ค้างคาใจอยู่ เวลาจิตสงบเข้าไป มันจะตอบปัญหา คำถามมันจะตอบมาเป็นชั้นๆ นี่คือธรรมเกิด ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจ!

สิ่งที่เห็น นิมิตๆ ที่ว่ากัน ที่โม้กันปากเปียกปากแฉะน่ะ อย่ามาพูดให้ฟังนะ มันกิเลสหลอกทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันหลอกไปแล้วเอามาพูดกันน่ะ ที่นี่วัด! วัดประพฤติปฏิบัตินะ วัดคือพุทธะ พุทธกับวัด คือ พุทธศาสตร์ ไอ้ไสยศาสตร์ ไอ้ความรู้ความเห็นในวัฏฏะนั่นน่ะ มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์

สิ่งที่เป็นไสยศาสตร์นะ ดูสิ ดูเขาฌานสมาบัติไปสิ เขารู้วาระจิต เขารู้สิ่งต่างๆ นะ มันยังแก้กิเลสไม่ได้เลย สิ่งที่เห็นนั่นน่ะ เวลาธรรมเกิดๆ ถ้ามันมีครูบาอาจารย์นะ ธรรมเกิดคือมันตอบปัญหาของเรา ตอบสิ่งใดๆ ก็ตาม ตอบแล้วมันก็แล้วกันไปน่ะ ตอบแล้ว แล้วชาติที่แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ สิ่งที่มาเกิดอยู่นี่เกิดมาเพราะอะไร ทำไมไม่ถามตัวเองบ้าง แล้วมีสิ่งใดเข้ามา ในคลองของจักษุไปรู้ไปเห็นอะไรเข้า ไปยึดมันทำไม ยึดนั่นคือกิเลสนะ

เวลาธรรมเกิด แต่เพราะเรามีอวิชชา เพราะเราเอากุญแจของเราต่างคนต่างอยู่ แล้วต่างสาวไปเห็นไหม อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ แล้วก็ต่างอันต่างแยกออกจากกัน แล้วพอรู้สิ่งใดก็รู้โดยอวิชชา พอรู้โดยอวิชชาก็จะไปยึด มันเป็นอดีตไปแล้ว

เหมือนกับ.. เพราะมันเป็นอดีต เราเกิดมานี่ เกิดมาโดยอำนาจวาสนาเป็นมนุษย์น่ะแล้วเราใช้หมดน่ะ เราจะเกิดเป็นอะไรต่อไป ทำบุญมาทำความดีได้เกิดเป็นมนุษย์ซ้ำ ได้มนุษย์สมบัติ ก็เกิดเป็นมนุษย์สมบัติอีก ได้มนุษย์สมบัติอีก แล้วมนุษย์สมบัตินี่กาลเวลามันหมุนไปน่ะ ไปเกิดอีกทีก็ไปทุกข์อีกเห็นไหม

แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบ ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ สิ่งที่มันผ่านมาแล้วน่ะ ไร้สาระมาก ถ้ามันเป็นปัจจุบันเท่านั้นถึงจะแก้กิเลสได้ คำว่าปัจจุบันจะแก้กิเลสได้ เราถึงต้องรักษาใจของเรา นี่ภวาสวะ ตัวภพ คือตัวฐาน ฐานกุญแจดอกหนึ่ง แล้ว มีวิชชาเข้ามา มีธรรมะเข้ามาเห็นไหม มันจะรวมเข้ามาด้วยปัญญาของเรา ถ้าด้วยปัญญาของเรา มันจะย้อนไปไหนล่ะ มันจะย้อนไปดูสิ สิ่งที่สักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิเห็นไหม สิ่งที่เป็นทิฏฐิผิด ทิฏฐิว่าสิ่งนี้เป็นเรา มันเป็นเราชั่วคราว มันเป็นเราพอให้อาศัยดำรงชีวิต มันเป็นเราขึ้นมาเพื่อจะให้แสวงหาคุณงามความดี

มันไม่ใช่เป็นเราเพื่อจะปล่อยให้มันเสื่อมโทรมไป แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันจะเห็นว่าเราทำไมบังคับมันไม่ได้ บังคับไม่ได้หรอก สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ วัตถุสิ่งใดเห็นไหม สิ่งต่างๆ มันเป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” แล้วก็เวียนซ้ำเวียนซาก เวียนซ้ำเวียนซาก แต่ถ้าคุณธรรมมันเกิดนะ สภาวธรรมมันเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม โดยสัจจะความจริงนะ สัจจะความจริงนั้นมันคืออะไร มันถอนอัตตานุทิฏฐิ มันถอนทิฏฐิ ถอนความยึดมั่นถือมั่น ถอนสังโยชน์

ถ้ามันถอนสังโยชน์ สิ่งที่มันถอนไปแล้ว มันไม่มีอะไรบังคับบัญชาใจนั้นได้ เพราะใจนั้นเป็นอิสระ แต่ถ้ามันมีสังโยชน์อยู่ มันรู้อะไรมา มันก็รู้ใต้กฎของสังโยชน์ รู้อะไรมามันก็แบกหามไปเป็นภาระทั้งนั้นน่ะ รู้สิ่งใดมา มีประโยชน์อะไร.. ไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย ยิ่งไม่รู้มันจะรู้จริง ไอ้รู้ๆ นี่รู้โดยสัญญา รู้โดยข้อมูล ต้องทบทวนต้องคอยนึกไว้นะ เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็จำได้.. เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็จำได้..

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นพลังงาน ดูน้ำมันสิ ไฟจ่อเข้าไปมันติดทันที สัจธรรมที่มันเกิดจากใจน่ะ มันไม่ต้องจดไม่ต้องจำ มันเป็นอัติโนมัติ มันเป็นความจริงอยู่ตลอดเวลา

มันตลอดเวลาเพราะอะไร เพราะมันคายตัวออกมา สิ่งที่มันคายตัวออกมาน่ะ มันเป็นอิสระแล้ว อะไรจะไปบังคับบัญชามันได้ อะไรจะครอบงำมัน ไม่มีสิ่งใดครอบงำมันเลยเห็นไหม ถ้ากุญแจมันเปิดออกมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาวธรรม มันเป็นสัจความจริงนะ แต่เราเปิด เปิดคือเปิดใจ ใจที่มันสกปรก แล้วถ้าเกิดสิ่งที่หมักหมมในใจออกไป ใจมันสะอาดขึ้นมาเห็นไหม นี่ธรรมธาตุ

ถ้าใจเป็นจริงที่สิ้นกิเลสนะ ใจเป็นธรรมธาตุ มันไม่ใช่ภพ สิ่งที่มันเป็น.. เราเป็นภพ เป็นภพเป็นเพราะอะไร เพราะเราต้องพยายามมรรค ๔ ผล ๔ เราต้องทำลาย ทำให้มันสะอาดเข้าไปชั้นเป็นตอนเพราะ! เพราะเวไนยสัตว์ ไม่ใช่ขิปปาภิญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม นั่งอาสนะเดียว ตั้งแต่ปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันเริ่มปรับตัวเข้ามา มัชฌิมายาม.. จุตูปปาตญาณ.. เห็นการเกิดของจิตเห็นไหม สิ่งที่มัชฌิมายามถึงสุดท้ายเห็นไหม

ถึงจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาชำระกิเลส “อาสวักขยญาณ” ทำลายกิเลสหมดเลย นั่งอาสนะเดียว ขิปปาภิญญาทำทีเดียวจบเลย จบเลยเพราะอะไร เพราะสร้างฐานมา สร้างบุญญาธิการมามาก เราเวไนยสัตว์เห็นไหม เราอยู่กึ่งพุทธกาล กึ่งพุทธกาล...ในความเชื่อในทางสังคมเห็นไหม ในทางสังคมเขาก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง มันไม่เหมือนสังคม ไม่เหมือนกับสหชาติที่เกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มรรค ๔ ผล ๔ ถ้าเรายังเชื่อ เรายังกระทำของเราอยู่ มันจะทวนกระแสเข้ามาที่ใจ แล้วมันจะตัดทอนไปเห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ ไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่มันจะย้อนกลับเห็นไหม กุญแจมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ สิ่งที่เป็นมรรคญาณมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อย เพราะละเอียดมันถึงเห็นความหยาบ ความละเอียดของความคิดไง

ทุกข์.. เวลาทุกข์หยาบๆ ทุกข์อย่างเรานะ ดูสิดูอย่างสัตว์ สัตว์นี่มันใช้ตามสัญชาตญาณของมันนะ มันต้องเกิดต้องตายโดยสัญชาตญาณของมัน แล้วมันทำอะไรของมัน ดูสิ บางทีสัตว์ถ้ามันน่าเอ็นดู มันน่ารักมันก็น่าดูน่ารัก แต่มันก็ทุกข์ของมัน มันสุดวิสัยที่จะบอกทางวิชาการให้มันเข้าใจได้

เราเป็นมนุษย์นะ... เราเป็นมนุษย์เราเป็นผู้มีสมองนะ สมองนี่เป็นความคิด สมองนี่เป็นข้อมูล แล้วมนุษย์มันมีหัวใจที่มันคิดได้อีก ถ้ามันคิดได้อีก มันย้อนกลับเข้ามาที่ปัญญาของใจ ถ้าปัญญาของใจ... นี่มันชำระกิเลสกันที่นี่! ไม่ใช่ปัญญาของสมอง ถ้าปัญญาสมองมันเป็นปริยัติไง “สุตมยปัญญา” ศึกษามาตามข้อมูล ศึกษาตามทฤษฎีแล้วยึดอันนั้นไว้

นี่เวลาประพฤติถึงต้องวางให้หมด สิ่งที่ไม่วางนั้น ทฤษฎีอันนั้นมันจะเข้ามา เข้ามาสร้างภาพว่าสภาวะเป็นอย่างนั้น.. สภาวะเป็นอย่างนั้น.. เห็นไหม แล้วเราก็ติดอย่างนั้น นี่คือจิตที่มันไม่มีกำลัง จิตที่ไม่มีฐาน ยึดอย่างนี้ไปก่อน แต่คนที่เขาไม่ประพฤติปฏิบัติเลย เขาไม่เชื่อเรื่องศาสนาเลย เขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเห็นไหม จะย้อนออกไปว่า จิตที่หยาบกว่านี้ก็ยังมี จิตที่ไม่มีโอกาสอย่างนี้ก็มี แต่ถ้าเรามีโอกาสของเรา สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ความเป็นไป เราถึงจะต้องมองคุณสมบัติอันนี้

ถ้ามองคุณสมบัติอันนี้เห็นไหม ย้อนกลับมาให้มันละเอียดเข้าไป.. ละเอียดเข้าไป.. โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค มันจะรู้ของมัน มันจะหลุดของมันไปเป็นชั้นๆๆ เข้าไป นี่เพราะไม่ใช่ขิปปาภิญญา เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาถึงทีเดียวสิ้นกิเลสหมด แต่.. แต่ขณะที่รู้จริงขึ้นแล้ว มันก็เห็นขั้นตอนของมัน เพราะมันเป็นความจริงไง เป็นความจริง..

เหมือนกับสิ่งสกปรกที่มันสกปรกสุดยอด สกปรกปานกลาง สกปรกอย่างเล็กน้อยเห็นไหม จิตเวลามันผ่อนมา มันผ่อนมาอย่างนั้นนะ

เพราะกิเลสมันหลุดออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จิตมันจะมีคุณสมบัติของมัน มันจะรู้ได้ด้วยความรู้ของจิตที่มันรู้สภาวะแบบนั้น ธรรม ธรรมะที่แสดงมาออกจากใจดวงใด พูดถึงขั้นตอนใด ผู้ที่อยู่สูงกว่า ผู้ที่เข้าใจกว่าเขาจะเห็นหมด เขาจะเข้าใจหมด เพราะพูดได้ระดับนั้น พูดมากกว่านั้นไม่ได้

ถ้ารู้จริงทั้งหมดเห็นไหม.. พูดเป็นระดับชั้นขึ้นมาเห็นไหม ระดับชั้นขึ้นมา เหมือนเด็กมีการศึกษา ศึกษาระดับอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

ความรู้ของเขา องค์ความรู้อันนั้นน่ะ องค์ความรู้ในการที่ศึกษามา องค์ความรู้ที่รู้จริงนั้นน่ะ สิ่งนั้นคือคุณธรรม แต่ทางโลกเขาต้องมีใบประกาศรับรองเห็นไหม สิ่งที่เป็นใบประกาศรับรอง มันจะเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์เพื่อสังคมเท่านั้น สังคมคือวัฏฏะ คือการเวียนตายเวียนเกิด

แต่ถ้าของเรา เราเป็นความจริงของเรา สิ่งองค์ความรู้อันนี้ มันถึงเป็นความจริงของเรา แล้วองค์ความรู้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรถ้าไม่มีการกระทำ ไม่มีประสบการณ์จริงขึ้นมา เห็นไหม

เราถึงต้องมีประสบการณ์จริงของเราขึ้นมา แล้วย้อนกลับ ย้อนกลับ ทวนกระแสตลอด สิ่งต่างๆ นะ ทวนกระแสเข้ามาถึงใจของเรา ทำความสงบบ่อยครั้งเข้า เพราะ เพราะความสงบอย่างหนึ่ง เห็นไหม ฐานของโสดาปัตติมรรค ฐานของสกิทาคามิมรรค ฐานของอนาคามรรค ฐานของอรหัตตมรรค มันต่างกัน มันต่างกันเพราะวุฒิภาวะของจิตมันต่างกัน มันต่างกัน ความเป็นสมาธิมันก็ต่างกัน สิ่งต่างๆ มันต่างกัน มันถึงมีสติ มหาสติ เห็นไหม มีปัญญา มหาปัญญา แล้วมหาปัญญา...

สิ่งที่เราทำอยู่ เรากำลังประพฤติปฏิบัติกันอยู่ เราว่ามันเป็นการสุดวิสัย ปัญญาของเราจะเข้าถึงไม่ได้ แล้วเวลาจิตมันเป็นปัญญา เป็นมหาปัญญามันจะลึกขนาดไหน มันจะลึกเข้าไปในใจขนาดไหน มันจะทำได้ขนาดไหน สิ่งที่การกระทำอย่างนี้ มันมีสิทธิทุกคนนะ ไม่ใช่พูดว่าคนอื่นมีสิทธิ แต่เราไม่มีสิทธิ

ความมีสิทธิ... อำนาจวาสนามันแข่งกันไม่ได้ สิ่งที่แข่งกัน เวลาทำมันจะประสบผลสำเร็จโดยเร็ว ประสบความสำเร็จโดยการถูไถไป โดยการพยายามไปเห็นไหม สิ่งนี้ต้องทำทั้งหมดนะ เพราะสิ่งนี้มันเป็นคุณสมบัติของเรา เพราะเราทำมาเอง

ดูอย่างชีวิตเราสิ เรามาเกิดอยู่นี่ เรามารับรู้อยู่นี่มันมาจากไหน มันมีต้นสายปลายเหตุนะ มันต้องมีสิ่งที่เราได้สร้างของเรามา สิ่งที่สร้างของเรามาเห็นไหม เพราะต้นสายปลายเหตุนี่มันส่งผลเรามา

ฉะนั้นจริตนิสัย... จริตของเรา ความคิดของเรา ความทุกข์ของเรา ปัญญาของเรา ความสุขของเรา เราเองจะต้องบริหารจัดการเอง ถ้าเราบริหารจัดการเองเห็นไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ความจริง องค์ความรู้ความจริง นี่ไงภาคปฏิบัติมันจะมีอย่างนี้

แล้วถ้าภาคปฏิบัติ องค์ความรู้ความจริงที่เปิดเผยออกมาจากผู้ที่รู้จริง มันก็เป็นอันเดียวกัน มันเป็นอันเดียวกันนะ วิธีการต่างกัน แต่ถึงที่สุดแล้วต้องเหมือนกัน ความเหมือนกันอันนี้มันถึงเป็นอริยสัจ

สัจธรรม... เราศึกษาสัจธรรมจากภายนอก ดูทางวิชาการนะ ใครมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สังคมเชื่อถือ เราต้องอ้างอิงคนนั้นตลอดเลย เราไม่เชื่อเราเลย แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัตินะ เขามีตำแหน่งของเขา เขาจะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ของเขา มันก็เรื่องของเขา ถ้าเราทำจนที่สุดแล้วนะ มันเหมือนกันได้...

สิ่งที่เหมือนกันได้ เราถึงต้องย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมา สิ่งที่อ้างอิงหรือเป็นทางวิชาการ มันก็เหมือนกับตำรานั่นล่ะ ตำรานี่เราศึกษาให้มันเป็นประเด็นนะ ถ้าเราไม่มีพื้นฐานเลย เราไม่ประพฤติปฏิบัติเลย เราไม่มีจุดเริ่มต้นเลย เราจะไปที่ไหนเห็นไหม

นี่สิ่งที่กระทำขึ้นไป มันถึงละเอียดเข้าไปเห็นไหม จากอาสวะ ๓ จนเป็นอนุสัยนะ สิ่งที่เป็นอนุสัยมันนอนเนื่องมากับใจนะ สิ่งที่นอนเนื่องเห็นไหม นอนเนื่องแล้วแสดงออก.. แสดงออก.. แสดงออก.. สิ่งที่แสดงออกไปนี่เราต้องยับยั้งไว้

การทำสมาธินะ ถ้าเราปล่อยส่งออกหมด มันจะกระจายออกไปหมดเลย แต่ถ้ามีสติเรายับยั้งไว้ ยับยั้งไว้เห็นไหม สตินี่มันกางกั้นได้หมดนะ กางกั้นสิ่งที่เราฟุ้งซ่าน กางกั้นสิ่งต่างๆ ที่มันแสดงออกมาจากใจ สติมันเป็นกางกั้น เห็นไหมทำสมาธิขึ้นมา มันเริ่มเห็นตัวตนขึ้นมา มันจับได้ “ปัญญาเท่านั้นจะเข้าไปชำระล้าง”

ทีนี้การทำสมาธิถ้าไม่มีปัญญา เราจะเอาอะไรไปทำมัน ทำสมาธิก็ต้องใช้ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญานะ สมาธิมันมีมิจฉา มีสัมมา ถ้ามิจฉานะ เราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ มันก็ว่างๆ อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเราทำสิ่งใดไม่ได้เลยเห็นไหม

กุญแจของเรามันไม่ตรง ลูกกุญแจกับแม่กุญแจ สิ่งที่มันไม่สมดุลเข้าไป มันก็เข้าไปถึงใจเราไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นลูกกุญแจกับแม่กุญแจอันเดียวกัน มันไขมันเปิดได้เห็นไหม ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันเกิดมาจากใจ มันก็เกิดขึ้นมา มันก็คือตัวภพ ตัวภพมันก็คือตัวใจ ตัวใจถ้ามีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม ตัวปัญญามันชำระใจให้สะอาดได้

ชำระให้สะอาด.. ใจมันติดอะไร ตั้งแต่สักกายทิฏฐิความเห็นผิดในเรื่องของร่างกาย พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สักกายทิฏฐิเรื่องของกาย แล้วพิจารณาเวทนา มันละสักกายทิฏฐิได้อย่างไร เพราะเวทนามันก็เกิดกับกายกับจิต ถ้าพิจารณาจิต จิตมันก็มาหลงในกาย แล้วถ้าพิจารณาธรรมล่ะ ธรรมก็อารมณ์ความรู้สึก ความผูกพันระหว่างกายกับจิตที่มันคิดผูกพันกัน มันยึดมาเห็นไหม

นี่ถ้าปัญญามันไล่เข้าไป มันปล่อยวางอย่างไร “ตทังคปหาน” การปล่อยวางระหว่างการพิจารณาใจที่พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม โดยข้อเท็จจริง เหมือนกับการทำวิจัยเห็นไหม เราใช้ปัญญาใคร่ครวญโดยสัมมาทิฏฐิ โดยมรรคญาณ โดยโลกุตตรธรรม

ถ้าโดยโลกุตตรธรรม เพราะเราทำสมาธิเข้ามา เราทำใจเราให้ละเอียดเข้ามา มันถึงเป็นโลกุตรธรรม แต่ถ้ามันใช้ปัญญาโดยสามัญสำนึก ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่ มันเป็นโลกียธรรม มันเป็นธรรมอันหยาบ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดโดยกิเลส โดยอวิชชา แต่มีการฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า จนกิเลสเห็นไหม กิเลสมันกลายเป็นธรรม กิเลสกลายเป็นธรรมได้อย่างไร เพราะมีตัณหาความทะยานอยากไม่เข้าใจมันก็เป็นกิเลส

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีองค์ความรู้ที่เข้าไปพิจารณามัน มันก็เป็นธรรม มันเป็นธรรมเพราะเป็นความจริง เป็นธรรมของโลก แล้วเราพิจารณาธรรม เราใช้ปัญญา โลกียปัญญาเห็นไหม ตรึกในธรรม มันซึ้งนะ ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เออ.. ชีวิตก็เป็นอย่างนี้จริงๆ เนาะ ทุกข์ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ นะ...” ถ้ามันถึงกับสะเทือน ถึงกับข้อมูลของตัว คือชีวิตจริงของตน มันถึงสะเทือนใจน้ำตาไหลเลยนะ นี่องค์ความรู้อย่างนี้มันเป็นโลกียะเห็นไหม

แล้วถ้าเราใช้ปัญญาบ่อยครั้งเข้ามันจะละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา.. เพราะมีสมาธิมันถึงเข้าไปถึงตัวภพ ตัวใจ ไม่ใช่อาการของใจ ความรู้นี่คือเกิดอาการของใจ พอมันเข้าไปถึงใจ มันไปใคร่ครวญกันในหัวใจเห็นไหม

สติปัฏฐาน ๔ โดยมรรค มันจะปล่อยของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนมันสมุจเฉท แล้วมันขาด “กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕” สักกายทิฏฐิ เห็นกาย กายก็ไม่ใช่เรา ในเวทนามันก็มีหมด ในจิตก็มีหมด ในธรรมารมณ์ก็มีหมด

ถ้ามันปล่อยวาง มันจะปล่อยวางอย่างนี้เห็นไหม แล้วพิจารณาเข้าไป จิตละเอียดเข้าไปๆ มันก็จับอีก กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนเดิม.. เหมือนเดิมนะ ครูบาอาจารย์บางองค์เห็นไหม พิจารณากายนอก กายใน กายในกาย ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคา อนาคา พิจารณากายอย่างเดียวเลย ครูบาอาจารย์บางองค์เห็นไหมพิจารณากาย แล้วมาพิจารณาจิต พิจารณาเวทนา แล้วแต่.. แล้วแต่สิ่งที่เราทำแล้วได้ประโยชน์

เหมือนเราขึ้นศาลเลย เรามีความผิดอะไร เรามีความผิดอาญาต้องขึ้นศาลอาญา เราฉ้อโกงเขามาต้องขึ้นศาลแพ่ง นี่ก็เหมือนกัน เราจับต้องอะไรได้ เราทำสิ่งใดได้ ขณะที่เรามีความผิดสิ่งใด เราต้องไต่สวนไปตามความผิดนั้น

จิตมันเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด จิตมันเป็นสภาวะแบบใด ถ้ามันจับสิ่งใดเอาตรงนั้นก่อนมันเป็นปัจจุบัน นี่ปัจจุบันอยู่ตรงนี้ ที่เขาบอกว่า “มันเป็นปัจจุบันๆ มันไม่เป็นปัจจุบันแก้กิเลสไม่ได้” แล้วมันเป็นปัจจุบัน มันเป็นปัจจุบันได้อย่างไร มันเป็นปัจจุบัน ดูความคิดสิ อดีต อนาคต ความคิดมันไปแล้ว ไม่เป็นปัจจุบัน

สมาธินี่แหละเป็นปัจจุบัน เพราะมีสมาธิเห็นไหม เป็นปัจจุบัน

แล้วเวลาใช้ปัญญาหมุนไป มรรคมันหมุนไป.. มรรคหมุนไป.. แต่ถ้ามันรวมตัวนะ มันจะรวมตัวเป็นมรรคสามัคคี ปั๊บ! ปัจจุบันขาด พั้บๆๆๆ ขาดเลย! พอมันขาดเข้าไป จิตมันออกมาจากความยึดมั่นถือมั่น เห็นหมดรู้หมด แล้วสิ่งนี้มันเกิดมาจากใจน่ะ แล้วขณะที่เราประพฤติปฏิบัติน่ะเราได้ทดสอบ เราได้ลงทุนลงแรงขนาดไหน แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติเข้ามาไม่ถึงเนื้อหาสาระอย่างนี้ แล้วเขาบอกของเขาเป็นคุณธรรม เราจะเชื่อเขาไหม เราไม่เชื่อเขาหรอก !

แต่ถ้าเราจะแนะนำได้ จะต้องให้ทำซ้ำเข้าไป ถ้าซ้ำเข้าไปนะ ดูสิ ดูการที่เราใช้ปัญญาบ่อยครั้งเข้าเห็นไหม เราจะรู้ลึกซึ้งเข้าไป เราจะมีรสชาติ เราจะมีความดูดดื่มมากเข้าไปเรื่อยๆ ปัญญาก็เหมือนกัน มรรคญาณมันหมุนรอบหนึ่ง มันจะดูดดื่มเข้าไปในหัวใจ ดูดดื่ม ลึกๆ เข้าไป ลึกเข้าไปถึงที่สุด ถึงฐานของจิตมันปล่อยตรงนี้สุด มันขาดออกไปเห็นไหม พอขาดออกไป ย้อนทำสมาธิลึกเข้าไปอีก จับเข้าไป กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนเดิม

กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนเดิม แต่กิเลสไม่เหมือนเดิม! กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสละเอียดสุด กิเลสมันคนละตัว แต่กิเลสเห็นไหม อย่างหยาบ เหมือนสายการบังคับบัญชามันยาวขึ้นมาเห็นไหม เราตัดตอนให้มันสั้นเข้ามา.. สั้นเข้ามา.. ตัดตอนสั้นเข้ามา ถึงที่สุดมันจะหดตัวเข้าไปถึงตัวของผู้ที่ควบคุมนโยบาย

ถ้าการวิปัสสนาซ้ำแล้ว ซ้ำบ่อยครั้งเข้า ถ้ามันเป็นความจริง มันจะปล่อยเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาจนถึงตัวของมันเห็นไหม ถ้าถึงตัวมัน “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” ตัวจิตเดิมแท้ คือตัวภวาสวะตัวภพไง ถ้าทำลายตัวภพหมดเห็นไหม นี่ไง พระอรหันต์ถึงไม่มีจิต! ถ้ามีจิตอยู่ก็มีภพ ตัวภพคือตัวกุญแจอันหนึ่งเห็นไหม อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ

สิ่งที่เป็นอนุสัย ในเมื่อมันเป็นภพ มันเป็นกิเลส มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มันถึงต้องเป็นกุญแจดอกหนึ่งไง กุญแจดอกหนึ่งเข้าไปทำลาย ทำลายกันหมดเห็นไหม จิตนี้พ้นออกไป.. พ้นออกไป.. อาสเวหิ จิตตานิ วิมุจจิง สูติ อาสวะสิ้นไป จิตนี้พ้นออกไปจากกิเลส ถ้าจิตหลุดพ้นออกไปจากกิเลส นี่ไงธรรมธาตุ สิ่งที่เป็นคุณธรรม

ที่บอกว่านิพพานๆ นิพพานมันอยู่ที่ไหน.. นิพพานมันอยู่ที่ใจของผู้ที่ปฏิบัติถึงนั้น นิพพานมันอยู่ที่นั่น

ในตำราเขียนเป็นตัวอักษร นิพพานถึงที่สุดแล้ว มันเป็นนิพพาน แล้วความเป็นอยู่ล่ะ ความเป็นอยู่ของผู้ที่ “สอุปาทิเสสนิพพาน” พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ท่านดำรงชีวิตอย่างไร ท่านดำรงชีวิตเหมือนปกติ ปกติเพราะอะไร เพราะใจกับกายมันเข้ากันไม่ได้ มันต่างอันต่างจริง มันอยู่ในร่างกายนั้น จนถึงที่สุดเห็นไหม

ดูสิ ดูพระอรหันต์เห็นไหม พระอรหันต์มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ใจที่มันไม่มีใครไปเร่าร้อนมัน จิตที่มันเป็นปกติของมัน จิตที่มันไม่มีสิ่งกิเลสตัณหาความทะยานอยากในจิตอันนั้นเลย จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ จะอยู่อย่างไรก็อยู่ได้ เว้นไว้แต่ร่างกาย.. ร่างกายแข็งแรงไหม ร่างกายสมควรไหม แล้วคนเรามันก็มีอายุขัยเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างพระโมคคัลลานะเห็นไหม พระโมคคัลลานะ เขาทุบจนตายเลย ทุบจนตายนะ จิตย้อนกลับมาด้วยฤทธิ์ให้รวมตัวขึ้นมา แล้วไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “แล้วแต่เห็นสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” ให้เห็นสมควรแก่เวลาของเธอเถิดเห็นไหม เพราะมันมีกรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมนี่มันถึงได้ที่ไหน ถ้าเป็นจิต มันมีภพ ตัวภพคือฐานของความคิด แต่ในเมื่อพระอรหันต์ยังมีร่างกายอยู่ ถ้ามีร่างกายอยู่ ร่างกายมันก็เหมือนกับเราไปดูหนังเห็นไหม มันมีจอ และมันมีเครื่องฉาย ฉายไปที่จอหนังนั้น เครื่องฉายนั้นคือหัวใจ จอนั้นคือสิ่งที่ฉายไปนั้น มันเป็นเหมือนร่างกาย

นี่เหมือนกัน ในเมื่อมีร่างกาย เราเห็นภาพ เราเห็นทุกๆ อย่าง เห็นการเคลื่อนไหว กายก็เหมือนกัน ในเมื่อกายเห็นไหม ดูสิ ดูพระอรหันต์บางองค์เห็นไหม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลย ทำไมพระอรหันต์บางองค์มีโรคภัยไข้เจ็บล่ะ เพราะร่างกายมันยังเป็นเศษส่วนที่กรรมมันตามทันไง ถ้าตามทันเห็นไหม เพียงแต่ว่าถ้าอิทธิบาท ๔ จะอยู่อย่างไรนั่นอีกเรื่องหนึ่ง กรรมอีกเรื่องหนึ่ง

ในเมื่อพระอรหันต์มีกรรมตรงไหน ไม่มีกรรมในหัวใจ เข้าถึงจิตที่นิพพานนั้นไม่ได้ เข้าถึงภวาสวะ เข้าถึงธรรมธาตุอันนั้นไม่ได้ เพราะอันนั้นพ้นออกไปจากกรรมทั้งหมด พ้นออกไปจากกรรมเห็นไหม พระอรหันต์ถึงเป็นสติวินัย เป็นปาปมุติ ไม่มีเจตนา วิหารธรรมอยู่กับใจดวงนั้น ไม่มีความผิด !

แต่ในเมื่ออยู่กับสมมุติ อยู่กับโลกเขา ใครเป็นคนตั้งว่าพระอรหันต์องค์ไหนเป็นปาปมุติ ในเมื่อไม่มีคนตั้ง ไม่มีโทษกับใจดวงนั้น แต่อยู่กับโลกเพื่อความสังคมกับโลก ก็อยู่กับเขาไปอย่างนั้น “ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก” ตามสังคมของโลกเห็นไหม จิตที่มันเข้าใจแล้วเห็นไหม ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวมันเองเลย ไม่ต้องการให้ใครเคารพนบนอบ ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจเพราะ เพราะมันไม่มีกิเลสไง

แต่ถ้ามีกิเลสนะ มันมีความต้องการให้คนเคารพนบนอบ ต้องการสิ่งต่างๆ ในเมื่อมีความต้องการ.. ก็ต้องออกไปเรื่องโลก ต้องแสวงหา ต้องมีเล่ห์มีเหลี่ยมไปกับโลกเห็นไหม เรื่องของการตลาด แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง มันเป็นสิ่งเครื่องอาศัย

สิ่งที่เขาเห็น เขาจะเข้าใจตามความเป็นจริง จะไม่มีปัญหากับใจดวงนั้นเลย ใจดวงนั้นอยู่สุขอยู่สบาย ความอยู่สุขอยู่สบายเห็นไหม มันจะไม่ไปเกิดไปตายเพราะ เพราะไม่มีแรงขับ เพราะไม่มีตัณหาความทะยานอยาก ถ้าไม่มีความทะยานอยากแล้วมันเกิดมาจากไหน ไม่มีตัณหาความทะยานอยากเพราะว่าเกิดจากใจดวงนั้นปฏิบัติเองเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น เราเป็นคนบอกทาง แล้วพวกสาวกสาวกะเป็นผู้ก้าวเดิน ถ้าเราก้าวเดินเข้าไปถึงหัวใจของเรา เราจะก้าวเดินเข้าไปถึงสัจจะความจริง แต่ถ้าเราซอยเท้าเราไม่ได้ก้าวเดิน เราซอยเท้าเฉยๆ เห็นไหม ไปเราพบพุทธศาสนา แล้วเราอยู่กับการประพฤติปฏิบัติในความซอยเท้าอยู่กับที่ มันไม่ก้าวเดิน แต่เราไม่รู้ตัวเลย แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้นะ ครูบาอาจารย์ท่านถึงตรวจสอบกันเห็นไหม แก้จิต แก้ไขจิต

จิตติดเพราะมันติด จิตมันติดของมันนะ จิตหลง ...ทำไมถึงหลง จิตหลงเพราะมันไม่รู้มันถึงหลง คำว่า “หลง” เพราะมันไม่รู้ มันไม่รู้มันถึงหลง หลงคืออะไร ไม่รู้คืออะไร ไม่รู้คืออวิชชา... แล้วมันหลง มันหลงในอะไร หลงในธรรมใช่ไหม หลงในสิ่งที่มันเข้าใจใช่ไหม

ถ้ามันเข้าใจ.. ความเข้าใจความหลงของเขา แล้วเขาจะออกมาให้มันถูกได้อย่างไร แต่ครูบาอาจารย์น่ะต้องหาวิธีการ หาอุบาย ให้เขาเห็นโทษ ให้เขาเห็นว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด แล้วแต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะแก้ไขนะ “การแก้ไขจิตยากมาก” ยากมากเพราะมันเป็นความหลงจากภายใน มันเป็นอุดมคติของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นมีอุดมคติสิ่งใด มันก็ใช้ความคิดลึกๆ อุดมคติมันอยู่ใต้ความคิดนะ อุดมคติของใจดวงนั้น

ถ้าใจดวงนั้นมีคุณธรรม อุดมคติของเขานะ เขาจะเปรียบเทียบ เขาจะตรวจสอบเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยกิเลสนะ “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” อุดมคติเห็นไหม มันทำให้ความคิดเราผิดพลาดหมดเลย ให้ความคิดของเราไปตามเส้นทางสายนั้น สายที่มันวางเป้าหมายไว้ ทีนี้เป้าหมายไว้มันชี้ผิด เพราะมันเป็นอวิชชา เพราะมันหลง มันเป็นกิเลส มันถึงทำวนเวียนไปสภาวะแบบนั้น เหมือนเรือไม่มีหางเสือ เข้าฝั่งไม่ได้ เข้าฝั่งไม่เป็น

แต่ถ้าเรือมีหางเสือนะ เราจับเรือตรงไว้ มันจะไม่เวียนอยู่ในอ่าง มันจะพุ่งตรงไปทางใดทางหนึ่ง มันจะไปเจอฝั่งได้แน่นอน มันจะเข้าไปเจอฝั่งได้แน่นอน ความเพียรของเราก็เหมือนกัน เราจะล่วงพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร เราเอาความเพียรพยายามของเรานะ เราพยายามตั้งใจทำความเพียรของเรา โดยสัจจะ โดยความจริง แล้วตรวจสอบ

ถ้าความเพียรเห็นไหม ความเพียรแต่มันไม่มีปัญญา มันก็ความเพียรของใคร.. ความเพียรของหุ่นยนต์ไง ความเพียรจริงมันต้องมีปัญญา มันต้องเทียบเคียง อุบายวิธีการนะ ทำซ้ำทำซากกิเลสมันหัวเราะเยาะ

แต่ถ้าทำโดยปัญญาของเรา.. ทำขณะนี้ได้ผลประโยชน์ไหม ถ้าไม่ได้ผล ไม่ได้ประโยชน์ มันเป็นเพราะเหตุใด พอเป็นเพราะเหตุใด “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เราต้องสาวไปหาเหตุ หาเหตุหาวิธีการไง ว่าวิธีการนั้นถูกต้องไหม

ความถูกและความผิด ถ้าเราไม่เห็นความถูกแล้วความผิด เดินจงกรมแล้วมีสติไหม ถ้ามีสติขึ้นมาทำไมมันลงไม่ได้ แล้วที่มันเคยลงมา มันลงได้อย่างไร ถ้ามันลงมาเห็นไหม สิ่งใดมันเป็นโทษบ้าง สิ่งใดเป็นโทษเราต้องเสียสละออกไป

สิ่งใดเสียสละออกไป ให้สิ่งที่เป็นโทษให้น้อยที่สุด เพราะมันเป็นโทษโดยใจก็เป็นโทษ สรรพสิ่งภายนอกก็เป็นโทษ ในเมื่อยังเป็นกิเลสอยู่เป็นโทษหมด โทษเริ่มมาจากความเห็นผิดของใจ มันถึงได้หลงใหลไปกับโลกเขา หลงใหลไปในอวิชชา หลงใหลไปในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทั้งๆ ที่ปฏิบัติธรรมอยู่เนี่ย

แต่ถ้าทำความถูกต้อง โดยสัมมาทิฏฐิ โดยความเห็นถูกต้อง แล้วความเห็นถูกต้องนะ มันจะเริ่มปรับตัวมันเข้ามา ใจมันจะปรับตัวเข้ามาให้มันเป็นรากฐานเข้ามาเห็นไหม สิ่งที่ปรับตัวเข้ามา มันก็เป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นน่ะ เป็นประโยชน์ของเรา แต่มันก็ต้องลงทุนลงแรงนะ

คนเราเกิดมาชีวิตมันต้องมีเครื่องอาศัย ความอาศัยเห็นไหม ดูพระเราสิ พระเราต้องบิณฑบาตเป็นวัตร เห็นไหมสิ่งที่บิณฑบาตเป็นวัตร “ธุดงควัตร” เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เราเป็นปุถุชนกัน แต่ถ้าเราเป็นปุถุชนแล้วเราเชื่อกิเลสเห็นไหม เราก็จะเอาสะดวกสบาย สิ่งต่างๆ ความเป็นอยู่เราต้องตามสะดวกตามกิเลส

แต่ถ้าเราจะดำรงอริยประเพณีเห็นไหม ประเพณีของพระอริยเจ้า พระกัสสปะถือธุดงควัตรตลอดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ “กัสสปะเอย เธอก็เป็นพระอรหันต์ เธอก็อายุปานเรา ถือธุดงควัตรทำไม”

พระกัสสปะตอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ปฏิบัติไว้เพื่อเป็นคติแบบอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลัง” เห็นไหม สิ่งที่เป็นประเพณี เป็นอริยประเพณีมา เราจะทุกข์จะยาก จิตใจเรามันจะคับแคบ จิตใจของเรามันจะมีแต่กิเลสตัณหาเหยียบย่ำขนาดไหน เราพยายามดำรงสิ่งที่เป็นอริยประเพณี ให้จิตใจมันพัฒนา ให้มันเป็นอริยธรรม

สิ่งที่เป็นอริยธรรมขึ้นมาเห็นไหม อริยะ.. สัจจะ.. อริยสัจจะ สัจจะความจริงของโลกเขา เขาต้องการความจริง เขาต้องหาสัจจะ แต่สัจจะอย่างนี้ก็เป็นสัจจะแบบธรรมชาติแบบธรรม เป็นสภาวธรรม สภาวะที่แปรสภาพ คือธรรมะ คือสัจจะความจริง

แต่อริยสัจจะมันพ้นจากการแปรสภาพ สิ่งที่แปรสภาพมันจะอยู่ได้ด้วยอะไรล่ะ มันจะอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นกรอบ ผลไม้มันต้องมีเปลือกหุ้มมันมา ผลไม้นั้นเราถึงจะเอามาถนอมรักษาเนื้อผลไม้ไว้ได้นาน นี่ก็เหมือนกัน อริยประเพณีมันเป็นประเพณีภายนอก แต่ถ้าเราฝึกเราฝนขึ้นมา เราเห็นคุณประโยชน์ของอริยประเพณี ใจเรามันเป็นเนื้อ เห็นไหม จากสิ่งที่ห่อหุ้มมันเป็นเนื้อเข้ามา มันจะเข้ามาถึงภายในไหม ถ้าเห็นคุณเห็นประโยชน์จะทำสิ่งใดมันอาจหาญรื่นเริงนะ

เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันเป็นการชักนำหัวใจ เป็นการทำให้ใจมันผ่อนคลาย ผ่อนคลาย เรานั่งสมาธิภาวนาเห็นไหม ตึงเครียด เราจะผ่อนคลายด้วยการเดินจงกรม การยืน เดิน นั่ง นอน เห็นไหม มันเป็นอิริยาบถ ๔ อิริยาบถนี้ทำให้การประพฤติปฏิบัติเรายาวไกลเห็นไหม

“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วเห็นไหม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าเราทำโดยสัมมาทิฏฐิ ความเพียรเราชอบ เรามีการกระทำชอบ ผลมันต้องเกิดขึ้นมากับเรา เกิดขึ้นมากับเรานะ

“ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” ไม่ต้องไปหาสิ่งใดเลย เกิดแล้วต้องตาย สิ่งที่ตายไปเห็นไหม ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก ตายไปด้วยความตรอมใจ ตายไปด้วยความลำบากลำบน กลับตายด้วยความรื่นเริง เห็นไหม ชีวิตนี้ไม่มีอะไร องอาจกล้าหาญเห็นไหม เกิดมาต้องตายหมด แต่ขณะที่ตายไปมีอะไรติดไม้ติดมือไป

เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นนักประพฤติปฏิบัติเห็นไหม บวชเป็นพระเป็นเจ้าด้วย สิ่งที่บวชเป็นพระเป็นเจ้า เรารื้อค้นมา โลกนะ.. ร้อนนะ “ในสโมสรสันนิบาต ทุกดวงใจว้าเหว่” ดวงใจว้าเหว่นะ ขณะที่เราเข้ามาอยู่คนเดียวเห็นไหม เราออกวิเวก ออกอยู่ของเราคนเดียว มันว้าเหว่ไหมล่ะ

ถ้ามันว้าเหว่.. เราค้นคว้าความที่เป็นว้าเหว่ ความที่เป็นความกลัว ความที่เป็นความทุกข์น่ะ สิ่งนั้นมันเป็นสัจจะความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริงเรามีปัญญาไล่ต้อนเข้ามา ใคร่ครวญเข้ามา มันแก้ได้ มันถอนได้ มันปล่อยวางได้ ถ้ามันถอนได้มันปล่อยวางได้ จิตใจมันก็มีอิสระขึ้นมาใช่ไหม แต่ถ้ามันเป็นทางโลกเห็นไหม ทุกดวงใจว้าเหว่ แล้วก็ไม่มีทางออก แล้วก็กอดคอกัน เห็นไหม

“โคนำฝูงที่ไม่มีปัญญา มันจะทำฝูงโคนั้นให้จมไปในวังน้ำวน...”

ในสโมสรสันนิบาตเขาทำอะไรกัน เขารื่นเริงกันในชีวิต เขาพยายามทำความรื่นเริงกลบเกลื่อนกับความทุกข์ไว้ แล้วมันจะพ้นไปได้ไหม แต่ถ้าเราเสียสละออกมาเห็นไหม เราอยู่ของเราคนเดียว เรารักษาของเราคนเดียว เราค้นคว้าของเราคนเดียว เรารักษาคนเดียว มันแก้ได้ไง

เหมือนคนไข้แล้วมียารักษาโรค มันหายได้... มีคนไข้ แต่ไม่มียารักษา แล้วก็กินแต่ของสแลงไง ในสโมสรสันนิบาตมีแต่ความเพลิดเพลิน มีแต่การใช้ชีวิตสูญเปล่า แล้วมันจะรักษาได้อย่างไร แต่เราไม่ใช้ความเพลิดเพลิน เราใช้สติ เราใช้ปัญญา เราใช้การใคร่ครวญ

“ชีวิตนี้คืออะไร ? เกิดมาทำไม ? การเกิด.. เกิดมาแล้วได้ประโยชน์อะไร ?”

เกิดมาแล้ว ถ้าประโยชน์ในธรรม ประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติมีไหม ถ้าเกิดมาประพฤติปฏิบัติ คือเกิดมาด้วยบุญเก่า แล้วถ้าเราได้ประโยชน์มีประโยชน์ มีบุญใหม่ไหม ถ้ามีบุญใหม่.. แล้วตายแล้วจะไปไหน ? แต่ถ้ามันมีบุญใหม่เห็นไหม...

“ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าทำสมาธิเกิดขึ้นมาหนหนึ่ง ถ้ามีสมาธิขึ้นมาร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาที่ทำให้จิตเกิดวิมุตติขึ้นมาได้” เห็นไหม

ถ้ามันมีปัญญามันวิมุตติ.. พระอยู่ในป่านั่งสมาธิภาวนาจะเอาบุญมาจากไหน “บุญ” เห็นไหม ทำบุญมากมายมหาศาลขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วต้องมาตกลงที่ภาวนา

ทำนบใหญ่ที่มันกั้นน้ำไว้อยู่ที่ไหน ทำคุณงามความดีที่ทำมาจากใจ มันอยู่ที่ไหนเห็นไหม นี่กุญแจ ๓ ดอกไง กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ มันกั้นอยู่ที่ภวาสวะ มันกั้นอยู่ที่ภพ มันกั้นอยู่ที่ใจ แล้วในจิตใจเรา คุณธรรมของเรา มันเข้าไปไขออกมาเห็นไหม ไขให้คุณธรรมของเราออกมา คุณธรรมของเรา ความจริงของเรา

คุณธรรมในพระไตรปิฎก สิ่งต่างๆ นั้นมันเป็นทฤษฎีชี้เข้ามาเท่านั้น ถ้าคุณธรรมอันนี้ออกมาเห็นไหม เป็นธรรมของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฎกนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางวิชาการนี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเป็นธรรมของเราขึ้นมา มันเป็นคุณธรรมของเราขึ้นมา มันเป็นสัจจะความจริงของเราขึ้นมา มันมาจากเรา มันมาจากการที่เรารู้จริง มันมาจากการที่เราประพฤติปฏิบัติ นี่สภาวธรรมเหมือนกัน เห็นไหม

พระอรหันต์! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เป็นพระอรหันต์! ครูบาอาจารย์ของเราที่สิ้นกิเลสแล้วก็เป็นพระอรหันต์!

พระอรหันต์... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม กับครูบาอาจารย์แสดงธรรมก็คือธรรมอันเดียวกัน แต่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาล ๕,๐๐๐ ปีนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้แล้ว แล้วถ้าใจเป็นธรรมเห็นไหม มันก็แสดงธรรมตามเนื้อธรรม

แต่ถ้าใจไม่เป็นธรรม มันแสดงธรรมโดยกิเลสเห็นไหม “เหมือนหมาห่มหนังเสือ” ถ้ามันจะแสดงธรรมมันก็จะแสดงออกเป็นกิริยาของหมา! แต่ถ้าเป็นเสือเห็นไหม เสือมันเป็นการบันลือสีหนาท มันก็คือเสือ ถ้าเสือ มันบันลือสีหนาทนะ สัตว์มันกลัวนะ ถ้าเสือมันบันลือสีหนาทกิเลสมันกลัว สิ่งที่กิเลสมันทำได้-ไม่ได้ เห็นไหม ดูสิเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ศีล สมาธิ ปัญญา กิเลสมันไม่อยากทำเลย แต่ถ้าให้มันสะดวกสบายขึ้นมา มันชอบเห็นไหม

นี่เหมือนกัน แสดงธรรมขึ้นมากิเลสมันกลัว! กิเลสมันกลัว.. กลัวสัจจะความจริง มันกลัวธรรมจริงๆ กิเลสมันไม่กลัวสิ่งที่เป็นความจอมปลอม สิ่งที่เป็นความจอมปลอม กิเลสมันหลอกใช้ด้วย กิเลสมันเอามาใช้เป็นประโยชน์ของมันอีก สิ่งที่เป็นความจริง มันจะเป็นความจริงของเรา นี่คือกุญแจใจนะ

กุญแจใจของเรา ภูมิปัญญาของเรา เราจะย้อนกลับมาทวนกระแส เพราะมรรคผลไม่อยู่ในสิ่งต่างๆ ไม่อยู่ในวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น มันจะอยู่ได้ สัมผัสได้ ด้วยหัวใจของสัตว์โลก

ดูสิหัวใจของสัตว์โลก ความรู้สึกไง สัจธรรมมันอยู่กับความรู้สึก ทุกข์ก็ทุกข์จากภวาสวะ ทุกข์ก็ทุกข์จากภพ สุขก็สุขจากภพ ทำลายภพแล้วมันก็สุขโดยวิมุตติ ถ้าไม่ทำลายภพเห็นไหม มันเป็นเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเฉยๆ เห็นไหม มันเพราะอะไร เพราะมันมีอาสวะ ๓

แต่ถ้าเราเอาอาสวะแปรสภาพมันให้เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นคุณธรรม จากกิเลสเป็นธรรม! จากอวิชชาเป็นวิชชา! จากภพทำลายภพ! ภพคือตัวจิต ทำลายทั้งหมด ถึงที่สุดแล้วเห็นไหม มันถึงที่สุด มันถึงคุณธรรม ถึงเป็นเอโกธรรมโม ถึงเป็นธรรมธาตุ

สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด “กุญแจใจ... ใจของใคร ใจของมันนะ” แล้วแต่การประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล กุญแจใจ... กุญแจใจจะเข้าไปรักษาใจ แล้วทำใจให้ถึงคุณธรรม เอวัง